“ศรีไทยฯ”รีแบรนดิ้งใหญ่รอบ50ปี แตกไลน์สินค้าไลฟ์สไตล์-ทุ่ม5พันล.ดันยอด2เท่า

“ศรีไทยซุปเปอร์แวร์” รีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี ล้างภาพผู้ผลิตจานชาม สู่สินค้าไลฟ์สไตล์ ไม่ยึดติด “เมลามีน” เบนเข็มผลิตแพ็กเกจจิ้งกลุ่มของกิน-ของใช้ เล็งทุ่ม 2 พันล้านสร้างโรงงานผลิตสินค้าพลาสติก ตั้งงบฯลงทุน 3 ปีข้างหน้า 5 พันล้าน หวังดันยอดโต 2 เท่า ทะลุ 2 หมื่นล้าน เตรียมแตกแบรนด์ใหม่สร้างแฟลกชิปสโตร์ฮ่องกงปีนี้ ก่อนหาพาร์ตเนอร์ลุยทั่วโลก

ท่ามกลางการปรับตัวของธุรกิจที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในยุคที่ พฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หนึ่งในบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยอย่าง “ศรีไทยซุปเปอร์แวร์” ก็มีการปรับทิศทางธุรกิจที่น่าสนใจ โดยเฉพาะการล้างภาพจากเพียงผู้ผลิตจานชาม ที่เจาะกลุ่มแม่บ้าน ไปสู่การเป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ที่ใช้วัสดุที่หลากหลายมากขึ้น ส่วนหนึ่งเพื่อตอบรับกับวิถีชีวิตคนรุ่นใหม่ รวมถึงเพื่อรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งเป็นที่มาของการเตรียมรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปีที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้

รีแบรนดิ้งใหญ่รอบ 50 ปี

นาย สนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะรีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ในโอกาสครบรอบ 50 ปี เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้มีความทันสมัยและสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคว่า ศรีไทยฯ ไม่ได้เป็นบริษัทที่ผลิตจานชามที่ใช้ในครัวเรือน และมุ่งเจาะกลุ่มแม่บ้านเท่านั้น ทั้งนี้จะมีการเสริมทีมผู้บริหารคนรุ่นใหม่เข้ามาร่วมงาน โดยคาดว่าจะใช้เวลา 6 เดือนในการสรุปแผนหรือแนวทางในการปรับภาพลักษณ์ที่ชัดเจนว่าจะมุ่งไปในทิศ ทางใด

บุกแพ็กเกจจิ้งของกินของใช้

ทั้งนี้ ในช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมาได้หันมาให้น้ำหนักธุรกิจพลาสติกอย่างจริงจัง และจะให้น้ำหนักมากขึ้นหลังจากนี้ เนื่องจากธุรกิจเมลามีนมีการเติบโตช้าลง ซึ่งเกิดขึ้นทั่วโลก ขณะที่กลุ่มพลาสติกเติบโตสูงและเป็นตัวผลักดันรายได้ที่สำคัญ จากโอกาสของอุตสาหกรรมอาหารพร้อมรับประทาน เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพลาสติกมีการขยายตัวอย่างมาก จากความต้องการใช้แพ็กเกจจิ้งประเภทขวดน้ำ ฝาน้ำ กล่องใส่อาหาร ฯลฯ ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

จากการเติบโตของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเมลามีนที่ ลดลง ทำให้ปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนขยายตลาดในประเทศ เพราะตลาดค่อนข้างอิ่มตัว บวกกับภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ไม่ดี ทำให้ลูกค้าชะลอการซื้อ และต้นทุนค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทที่ปรับขึ้น ทำให้ทิศทางของกลุ่มเมลามีนจากนี้ จะมุ่งขยายตลาดต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะในอาเซียนหรือประเทศที่มีพลเมืองจำนวนมาก อาทิ อินเดีย เป็นต้น

“ช่วง 3 ปีข้างหน้า เมลามีนคงจะโตไม่หวือหวา แต่กลุ่มที่จะโตอย่างมากคือพลาสติกและแพ็กเกจจิ้ง มาร์จิ้นไม่ได้เยอะกว่าเมลามีน แต่วอลุ่มค่อนข้างเยอะ ต้องบอกว่าบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับเมลามีนมา 45 ปี และปัจจุบันถือเป็นอันดับ 1 ของโลก แต่มียอดขายประมาณ 4,700 ล้านบาท แต่ช่วง 4 ปีที่ขยายไปสู่กลุ่มพลาสติก ทำให้รายได้สามารถแตะหมื่นล้านในปีนี้”

จากแนวทางดังกล่าว บริษัทมีแผนขยายกำลังการผลิต อาทิ เพิ่มการผลิตฝาขวดน้ำให้ได้ 72 ฝาต่อครั้ง จากเดิมที่ทำได้ 30 ฝาต่อครั้ง พรีฟอร์มเป่าขวดจะขยายให้ได้ 96 ชิ้นต่อครั้ง จาก 16 ชิ้นต่อครั้ง เข้าไปลงทุนติดตั้งเครื่องเป่าให้ลูกค้า นอกจากนี้ยังมีการพัฒนานวัตกรรมเพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง อาทิ ผลิตฝาขวดที่เป็นไบโอพลาสติก ย่อยสลายได้ง่าย และมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าใหม่ อาทิ ผลิตแพ็กเกจจิ้งให้กับผู้ประกอบการกลุ่มของใช้ส่วนบุคคล ฯลฯ

ทุ่ม 5 พันล้านสร้าง รง.โต 2 เท่า

ด้วย การขยายตัวของธุรกิจใหม่ ๆ ตลอด 3 ปีข้างหน้า บริษัทได้เตรียมงบฯลงทุนไว้ 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบฯลงทุน 2,000 ล้านบาท สำหรับสร้างโรงงานแห่งใหม่สำหรับผลิตสินค้าที่เป็น Product Extension ของกลุ่มพลาสติกเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และรองรับกับทิศทางใหม่ของบริษัทที่จะมุ่งไปที่สินค้าในกลุ่มพลาสติกมากขึ้น โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างหาพื้นที่ขนาด 70-80 ไร่ ซึ่งจะสรุปในปีนี้ และคาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องผลิตอีก 3 ปีข้างหน้า ทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 2 เท่าในอีก 5 ปีข้างหน้าคิดเป็น 20,000 ล้านบาท จากปีนี้คาดว่าจะปิดรายได้ 10,000 ล้านบาท เร็วกว่าที่คาดว่าจะทำได้ในปีหน้า

สำหรับงบฯลงทุนอีก 3,000 ล้านบาท จะใช้ขยายกำลังผลิตทั้งสร้างโรงงาน และซื้อเครื่องจักรใหม่ ๆ ต่อปีไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยเฉพาะต่างประเทศเพื่อรองรับเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี โดยมีแผนสร้างโรงงานที่อินเดีย และตั้งโรงงานแห่งที่ 3 ในเวียดนามภายในปี 2557 ส่วนประเทศอื่น ๆ อาทิ พม่า อยู่ระหว่างศึกษาความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน

ก่อนหน้านี้บริษัท ยังมีการร่วมทุนกับบริษัทในอิตาลี ที่มีประสบการณ์ด้านการผลิตเฟอร์นิเจอร์และมีฐานลูกค้าหลักอยู่ในยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ โดยบริษัทถือหุ้น 65% ตั้งโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ บนที่ดิน 7 ไร่ ย่านราษฎร์บูรณะ ซึ่งใช้แบรนด์ “Super Idea” ชูคอนเซ็ปต์อิตาเลียน ดีไซน์ เอาต์แวร์ เฟอร์นิเจอร์

แตกแบรนด์ผุดช็อปบุกฮ่องกง

นาย สนั่นอกล่าวอีกว่า อีกโปรเจ็กต์ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา คือ การพัฒนาแบรนด์ใหม่ที่เป็นสินค้าไลฟ์สไตล์ ใช้วัสดุที่หลากหลายขึ้น ไม่เฉพาะเมลามีน แต่ผสมผสานทั้งผลิตภัณฑ์เมลามีน และผลิตภัณฑ์จากเส้นใย นำมาจัดเป็นคอนเซ็ปต์ร้าน เน้นจัดดิสเพลย์ให้สวยงาม เตรียมเปิดตัวครั้งแรกที่ฮ่องกงไตรมาส 4 ปีนี้ คาดหวังสร้างแบรนด์ให้ติดตลาด และฉายภาพลักษณ์ใหม่ของศรีไทยฯ มีแผนขยายคอนเซ็ปต์ร้านดังกล่าวไปยังทั่วโลก ผ่านพาร์ตเนอร์ในแต่ละประเทศ โดยปัจจุบันบริษัทมีการเข้าไปทำตลาดแล้วกว่า 100 ประเทศทั่วโลก

อีก กลยุทธ์ที่สำคัญคือ พัฒนาสินค้าที่ตอบสนองลูกค้าเฉพาะกลุ่มหรือเซ็กเมนต์ ตลาดมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ ๆ อาทิ กลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ คนทำงาน วัยรุ่น คนรุ่นใหม่ จากเดิมที่เป็นกลุ่มแม่บ้าน

ปัจจุบัน โครงสร้างธุรกิจแบ่งเป็นเมลามีน 60-70% พลาสติก 20% และธุรกิจขายตรงเอสเนเจอร์ไม่ถึง 5% งในอนาคตมองว่าพลาสติกและขายตรงจะเติบโตรวดเร็ว โดยขายตรงเอสเนเจอร์มีแผนจับมือผู้ผลิตสินค้า ล่าสุดผนึกเถ้าแก่น้อย พัฒนาสินค้าใหม่ คาดว่ารายได้จะแตะ 1,000 ล้านบาทภายในปี 2557

ที่มาของบทความ

(685)

Comments are closed.