จับสัญญาณราคาทองคำซึมยาว ศูนย์วิจัยทองชี้มีโอกาสร่วงถึง 15,000-16,000 บาท ฟากนักลงทุน “โกลด์ฟิวเจอร์ส” บาดเจ็บสาหัส คาดหนีหายออกจากตลาดกว่า 20% ก.ล.ต.ยัน โบรกเกอร์ทองไม่สะเทือนจากลูกค้าเบี้ยวหนี้ โดนผลกระทบถ้วนหน้าทั้งกลุ่มอัญมณีจนถึงโรงรับจำนำ เผยไทยสต๊อกทองเต็มประเทศ ก.พ.ไทยนำเข้ากว่า 4 หมื่นกิโลกรัม
จาก สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกร่วงจากช่วงวันศุกร์ที่ 12 เมษายน 2556 ลงไปใกล้ระดับ 1,500 เหรียญ และวันจันทร์ที่ 15 เมษายน ราคาก็อ่อนตัวลงอีกกว่า 140 เหรียญ หรือประมาณ 9% มาปิดใกล้ระดับ 1,353 เหรียญ ถือเป็นการลดลงกว่า 200 เหรียญในช่วงเวลาสองวันทำการ ก่อนจะฟื้นตัวได้เล็กน้อยในวันที่ 16 เมษายน 2556 ขณะที่ตลาดทองคำในประเทศไทย หลังเปิดทำการในวันที่ 17 เม.ย. พบว่าราคาทองไทยปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงจากก่อนปิดสงกรานต์ที่ประมาณ 2.1 หมื่นบาท ร่วงลงมาที่ 19,000 หมื่นบาท หรือลดลงราว 2,000 บาท และเมื่อ 19 เม.ย.ราคาซื้อ/ขายปิดที่ 19,150/19.250 บาท
สิ้นปีทองโลก 1,350 ดอลลาร์
มาร์เก็ต วอตช์ดอตคอมอ้างบทวิเคราะห์จากธนาคารเครดิต อะกริโคลมองว่า หนึ่งในสาเหตุสำคัญที่กดดันให้ราคาทองดิ่งลงคือ การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ และราคาทองคำจะร่วงลงอีกในระยะกลางเพราะเงินดอลลาร์แข็ง ซึ่งทำให้ทองคำมีราคาแพงในสายตานักลงทุนต่างชาติ พร้อมคาดการณ์ว่าราคาเฉลี่ยทั้งปีของทองคำในปีนี้จะอยู่ที่ 1,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และสิ้นปีนี้ราคาจะอยู่ที่ 1,350 ดอลลาร์ต่อออนซ์
โดย ความกังวลเรื่องธนาคารกลางชาติยุโรปจะนำทองคำสำรองออกมาขายเพื่อชำระหนี้ เป็นปัจจัยที่กดดันราคาทองคำโลกในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับเกิดกระแสเงินทุน ไหลออกจากกองทุนทองคำ(ETP) การคาดการณ์ว่าราคาทองจะทรุดลง การตื่นตระหนกขายทิ้ง ล้วนเป็นสาเหตุที่ฉุดให้ราคาทองยิ่งดิ่งลึก
กูรูคาดราคาทองซึมยาวฟื้นปี 58
นาย แพทย์กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงภาพการลงทุนทองคำได้เข้าสู่ช่วงตลาดหมี และมีแนวโน้มปรับตัวลดลงและซึมต่อเนื่องในระยะยาว อย่างไรก็ตาม คาดว่าราคาทองจะฟื้นตัวอีกครั้งในปี 2558 หากปัญหาเงินเฟ้อกลับขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญ ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะเมื่อธนาคากลางหลายประเทศทั้งสหรัฐ ยุโรป ญี่ปุ่น ยังคงอัดฉีดเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง ก็จะยิ่งทำให้ทองคำพลิกบทบาทกลับมาเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอีกครั้ง
ด้าน นายกมลธัญ พรไพศาลวิจิต ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ ประเมินว่า ในช่วงไตรมาส 2 ราคาทองคำจะแกว่งตัวในกรอบ 1,250-1,500 เหรียญ หรือคิดเป็นบาทละ 17,500-22,000 บาท อย่างไรก็ตาม ในช่วงดังกล่าวหากเงินทุนต่างชาติยังคงไหลเข้าตราสารหนี้ระยะยาวของไทยอย่าง ต่อเนื่อง ก็อาจจะเป็นผลให้ค่าเงินบาทปรับตัวลดลงแตะ 28 บาทต่อดอลลาร์ได้ ซึ่งจะยิ่งเป็นผลให้ราคาทองปรับตัวลดลงตามไปด้วย นักลงทุนจึงควรต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนสูง
“กรอบราคาทองมี โอกาสปรับตัวลดลงได้มากกว่าที่เราประเมินโดยอาจดิ่งลึกไปได้ถึง1,100-1,200 เหรียญ และถ้าเงินบาทแข็งค่าไปที่ 28 บาท ก็จะกดดันให้ราคาทองร่วงลงไปถึงบาทละ 15,000-16,000 บาทได้” นายกมลธัญกล่าวและว่า
การที่ราคาทองปรับตัวลดลงนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบ ต่อตลาดลงทุนเท่านั้น แต่จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า โรงรับจำนำทั้งระบบก็ได้รับผลลบเช่นกัน เนื่องจากการรับจำนำมีสัดส่วนของทองคำสูงถึง 80% ขณะที่ปกติจะประเมินราคาทองให้ต่ำกว่ามูลค่าจริงประมาณ 15% แต่ที่ผ่านมาราคาทองกลับปรับตัวลดลงมากกว่า 15% แล้ว และมีแนวโน้มจะดิ่งต่ออีก ดังนั้นจึงทำให้ธุรกิจดังกล่าวได้รับความเสี่ยงมาก
นักลงทุนโกลด์ฟิวเจอร์สสาหัส
นาย แพทย์กฤชรัตน์กล่าวเพิ่มเติมว่าจากสถานการณ์ราคาทองร่วงหนักทำให้บริษัทต้อง บังคับขายปิดสถานะ(ฟอร์ซเซล) สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า (Gold futures) ของลูกค้าประมาณ 10% จากปริมาณซื้อขายทั้งหมด หรือคิดเป็นลูกค้ากว่า 30 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ขาดทุนเนื่องจากการเปิดสถานะซื้อล่วงหน้า (Long) ไว้ โดยช่วงก่อนสงกรานต์บริษัทมีกลุ่มลูกค้าที่เปิดสถานะ Long 20% ส่วนที่เหลือเปิดสถานะขายล่วงหน้า (Short) ดังนั้นจึงทำให้การขาดทุนมีค่อนข้างน้อย
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้ ภาพรวมของตลาด Gold Futures มีความคึกคักลดลง จากที่นักลงทุนหลายรายประสบปัญหาขาดทุนอย่างหนัก โดยคาดว่าจะทำให้นักลงทุนที่ขาดทุนอย่างรุนแรงหายไปประมาณ 20% ส่วนนักลงทุนที่ขาดทุนแต่ยังมีเงินสดและสภาพคล่องจากการลงทุนด้านอื่นเหลือ ก็อาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนจึงจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง
“นักลงทุนที่อัดเงินเข้าไปใน Gold futures ทั้งหมดแล้วมีสภาพคล่องเหลือน้อย ถือเป็นกลุ่มที่บาดเจ็บสาหัส”
นาง สาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส กล่าวว่า บริษัทมีลูกค้าที่เปิดสถานะ Long ไว้ก่อนสงกรานต์ เป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของปริมาณขายทั้งหมด คิดเป็นจำนวนผู้เสียหายทั้งสิ้น 140 คน ซึ่งส่วนใหญ่ยินดีที่จะเพิ่มเงินวางหลักประกัน เพื่อรอจังหวะที่ราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจึงจะปิดสถานะ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้นักลงทุนขาดทุนน้อยลงได้
ด้านนายบุญ เลิศ สิริภัทรวณิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออสสิริส จำกัด กล่าวว่า สัดส่วนลูกค้าที่เปิดสถานะ Long กับบริษัทก่อนช่วงสงกรานต์มีประมาณ 30% ซึ่งครึ่งหนึ่งของจำนวนดังกล่าวได้วางหลักประกันเพิ่มแล้ว ส่วนอีกครึ่งหนึ่งที่ถูกฟอร์ซเซลจนทำให้กลายเป็นหนี้กับบริษัท หลายรายก็แสดงเจตจำนงที่จะชำระคืนหนี้ สำหรับบางรายหากไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ในครั้งเดียว บริษัทก็จะให้สามารถใช้วิธีผ่อนจ่ายกับบริษัท เพื่อไม่ให้กระทบฐานะและสามารถกลับมาลงทุนได้อีก
ก.ล.ต.ยันโบรกฯทองฐานะมั่นคง
นาย ธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า จากการสำรวจไปยังโบรกเกอร์นายหน้าซื้อขาย Gold Futures พบว่า ยังไม่น่าเป็นห่วงจากความเสียหายที่จะได้รับจากการที่ลูกค้าเบี้ยวหนี้ อีกทั้งปัจจุบันฐานะทางการเงินของแต่ละโบรกฯก็มีความแข็งแกร่ง ประกอบกับล่าสุดได้มีการป้องกันความเสี่ยงในเรื่องการเพิ่มอัตราวางเงินหลัก ประกันในการซื้อขาย Gold Futures แล้ว ดังนั้น หลังจากนี้หากมีปัญหาเกิดขึ้นในลักษณะเดิม ก็ไม่น่าจะเป็นผลกระทบรุนแรงจนสร้างความเสียหายทำให้ถึงขั้นต้องปิด โบรกเกอร์
เปิดตัวเลขสต๊อกทองเต็มประเทศ
ผู้สื่อ ข่าว”ประชาชาติธุรกิจ”รายงานว่า การนำเข้า-ส่งออกทองคำในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประเทศไทยนำเข้าทองคำแท่ง 41,340 กิโลกรัม เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 422.58% (7,910 กก.) คิดเป็นมูลค่า 2,176.4 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่การส่งออกลดลงเหลือเพียง 1,639 กิโลกรัม มูลค่า 103 ล้านเหรียญ หรือลดลง 88% ขณะที่เครื่องประดับที่ทำจากทองส่งออกลดลงเหลือ 467 ล้านเหรียญ หรือลดลง 40.9%
ตัวเลขข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่า ตั้งแต่ต้นปี 2556 ไทยนำเข้าทองคำแท่งมาสต๊อกไว้จำนวนมาก โดยบริษัทที่มีการนำทองคำเข้าสูงสุด 5 รายใหญ่แรก ได้แก่ บริษัท บริงค์ส (ประเทศไทย), บริษัท จีโฟร์เอส อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติคส์ (ประเทศไทย), บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง คอมโมดิทัช จำกัด, บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ จำกัด และบริษัท วาย แอล จี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
“การนำเข้าทองคำแท่งในเดือนต่อไปจะไม่ลดลง ฮวบฮาบจากสต๊อกคงเหลือ แต่จะมีการนำเข้ามาเพิ่มขึ้นอีกเพื่อเก็งกำไรส่วนต่างในช่วงทองขาลง และอีกส่วนหนึ่งนำเข้ามาเฉลี่ยราคาทองคำในช่วงขาขึ้นที่ซื้อมาแพง แต่ต้องดูอัตราแลกเปลี่ยนด้วย” ผู้ค้าทองรายหนึ่งกล่าว
กลุ่มอัญมณีชะลอคำสั่งซื้อขาย
นาย สมชาย พรจินดารักษ์ นายกสมาคมผู้ค้าอัญมณีไทยและเครื่องประดับ กล่าวว่า ภาคการผลิตเครื่องประดับทอง (เรียลเซ็กเตอร์) และผู้นำเข้าต่างประเทศกังวลว่า แนวโน้มราคาทองคำจะหลุดกรอบ 18,000 บาท เหตุผลทั้ง 2 ส่วนทำให้การซื้อขายทองในประเทศชะงัก ซึ่งอาจจะทำให้การส่งออกเครื่องประดับปี 2556 ติดลบกว่าที่เคยประเมินไว้ จากผลกระทบเรื่องค่าแรงงาน 300 บาท และเงินบาทแข็งค่าขึ้น
“เมื่อ ต่างฝ่ายต่างไม่มั่นใจราคาทองคำทำให้มีการชะลอคำสั่งซื้อขาย แต่เราแย่มาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว เพราะ เศรษฐกิจโลกยังแย่ และมาเจอวิกฤตอัตราแลกเปลี่ยน เราคิดว่าคงติดลบในปีนี้ แต่ยังไม่รู้เท่าไร”
ส่วนสถานการณ์ส่งออกทองคำแท่งที่ลดลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากตลาดผู้นำเข้าทองคำหลักคือ จีน และอินเดีย เริ่มลดปริมาณนำเข้าทองแท่ง
ทอง ตจว.คึกคักต้องจองล่วงหน้า
ขณะ ที่บรรยากาศการซื้อขายของร้านทองทั่วประเทศก็คึกคักมาก โดยนายชัยชนะ ประพฤทธิพงษ์ ประธานชมรมผู้ค้าทองภาคอีสานใต้ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ถึงสถานการณ์ตลาดทองคำที่จังหวัดนครราชสีมาว่า ขณะนี้มีลูกค้าแห่ไปซื้อทองคำเพิ่มขึ้นมากว่า 100% ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ารายย่อยที่ต้องการซื้อเก็บไว้ ขณะที่ทองคำแท่งใน จ.นครราชสีมา ไม่มีจำหน่ายแล้ว ร้านทองต้องออกตั๋วจอง โดยลูกค้าต้องจ่ายเงินจึงจะสั่งซื้อมาให้ เพราะหากไม่ทำเช่นนี้ร้านทองขาดทุนแน่นอน จึงใช้วิธีการดังกล่าวเพื่อชดเชยสต๊อกเดิม
ด้านนายสุรพล โอวิทยากุล ประธานชมรมร้านทองเชียงใหม่ กล่าวว่า ผู้บริโภคออกมาซื้อทองรูปพรรณคึกคักทุกวัน แต่การซื้อขายทองแท่งของนักลงทุนทั่วไปเพื่อเก็งกำไรชะลอตัว
นาย เริงชัย วิริยะกุล ประธานชมรมร้านทองหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เปิดเผยว่า มีคนแห่มาซื้อทองจนหมดสต๊อก ตอนนี้ทองคำแท่งไม่มีขายแล้ว ต้องใช้ใบจองกว่าจะได้ทองราว 1 สัปดาห์ แต่ทองรูปพรรณยังพอมีของอยู่ อย่างไรก็ตาม ก็มีบางร้านต้องปิดร้านไปเลยเพราะวิตกว่าราคาจะไหลลงไปอีก ซึ่งถ้าร้านไหนบริหารสต๊อกไม่ดีก็จะขาดทุนได้ โดยทางชมรมได้แจ้งเตือนให้สมาชิกเตรียมรับมือด้วยการซื้อทองป้องกันความ เสี่ยงด้วย
ที่มา: prachachat.net (947)